การติดตามผล
การติดตามผลก็มีหลายๆ วิธี เช่น
- ชั่ง นน
- ใช้เครื่องวัด นน, วัดไขมัน
- ส่องกระจก ถ่ายรูปเปรียบเทียบ
- ใช้ตัวหนีบไขมัน Fat caliper
- การใช้สายวัดสัดส่วน
ในบทความนี้จะมาอธิบายข้อดี ข้อเสียของแต่ละวิธี
วิธีชั่ง นน
วิธีนี้ง่ายมาก แต่ก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไร เนื่องจาก นน ที่รู้นั้นเป็น นน โดยรวม (ไขมัน กล้ามเนื้อ) คนที่ นน เท่ากัน แต่มี %bodyfat ไม่เท่ากัน ก็มีรูปร่างไม่เหมือนกัน คนที่มี body fat ต่ำกว่าก็ดูดีกว่า ดังนั้นการดูแค่ นน อย่างเดียวนั้นไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าไร
วิธีใช้เครื่องวัด นน, ไขมัน
วิธีนี้ดูเหมือน จะดีขึ้นมาเพราะเราวัดมวลไขมันแยกออกมา แต่จริงๆ แล้วกลไกการวัดไขมันด้วยกระแสไฟฟ้านั้นได้ผลไม่เที่ยงตรงเนื่องจากว่าหลัก การนี้มีตัวแปรที่กระทบต่อการวัดไขมันมาก การวัดมีการคลาดเคลื่อนได้มาก
วิธีส่องกระจก ถ่ายรูปเปรียบเทียบ
วิธีนี้ง่ายและ มีประสิทธิภาพพอสมควร การส่องกระจกแล้วถ่ายรูปเปรียบเทียบความชัดของกล้ามเนื้อ ขนาดตัวที่เปลี่ยนไปช่วยให้ติดตามผลได้ดี
วิธีใช้ fat caliper
วิธีนี้เหมาะ สำหรับคนที่ค่อนข้างมีไขมันในเกณฑ์ที่น้อย แต่สำหรับคนที่ไขมันเยอะจะหนีบวัดยาก นอกจากนี้วิธีนี้ยังมีข้อจำกัดที่ว่าวัดได้เฉพาะไขมันใต้ผิวหนัง และยังต้องอาศัยความชำนาญในการวัด
วิธีใช้สายวัด
วิธีนี้มี ประสิทธิภาพมาก เนื่องจากเป็นการวัดโดยตรงว่าสัดส่วนตรงไหนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เนื่องจากไขมันมีความหนาแน่นน้อย ไขมันลดไป 0.5 kg จะเห็นว่ามีปริมาณมากและส่งผลต่อสัดส่วน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลง นน ไขมันเพียงเล็กน้อยอาจสังเกตด้วยตาชั่งไม่ได้ แต่ด้วยสายวัดนี่สามารถเปรียบเทียบได้
คำแนะนำ
ควรใช้หลายวิธีรวมกันเพื่อช่วยให้การติดตามผลมีประสิทธิภาพ
- ชั่ง นน เพื่อหา นน ตัว ซึ่งสำคัญในการคำนวณสารอาหารต่างๆ ด้วย
- ใช้สายวัดสัด ส่วน ทำให้รู้ว่าสัดส่วนเปลี่ยนแปลงอย่างไร ในกรณีที่ต้องการลดไขมัน การใช้วิธีชั่ง นน อาจพบว่า นน ไม่ได้เปลี่ยนไปมาก แต่จากสายวัดอาจพบว่าสัดส่วนลดลงเนื่องจากไขมันลดลง
- ส่องกระจก ถ่ายรูป