ดื่มนมแล้วท้องเสีย ทำอย่างไรดี
นมถือเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพนะครับ อย่างไรก็ตาม มีคนเอเชียจำนวนพอสมควรเลยทีเดียวครับ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดื่มนม ทำให้เวลาดื่มนมแล้วเกิดอาการไม่สบายท้อง หรือท้องเสียตามมาได้ครับ
ปัญหาหลักที่เกิดขึ้น ก็เนื่องมาจากว่าในคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการดื่มนมนั้น ปริมาณเอนไซม์แลกเทส ที่ใช้ย่อยน้ำตาลแลกโทสในนมนั้นมีไม่เพียงพอ หรือไม่เกิดการสร้างเลยครับ นั่นทำให้น้ำตาลแลกโทสไม่ถูกดูดซึมในลำไส้เล็ก และหลุดไปในลำไส้ใหญ่ ซึ่งก็จะมีแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่เป็นตัวย่อยแทน ทำให้เกิดแก๊ส รวมถึงอาการท้องเสียตามมาได้ครับ
แล้วปัญหานี้จะแก้ไขอย่างไรดีล่ะครับ ทางแก้ที่ง่ายที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการดื่มนมครับ แต่อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของนักกำหนดอาหาร เราสามารถมีตัวเลือกได้มากกว่านั้นครับ เพราะนมเป็นแหล่งอาหารที่ดีของแคลเซียมและวิตามินดี การหลีกเลี่ยงการดื่มนม อาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการขาดแคลเซียมและวิตามินดีได้ หากไม่บริโภคอาหารอื่น ๆ ที่ให้แร่วิตามินและแร่ธาตุนี้อย่างเหมาะสมครับ ซึ่งท้ายสุดแล้วจะส่งผลกระทบต่อความหนาแน่นของมวลกระดูกได้ ดังนั้น คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีปัญหาเวลาดื่มนม มีดังต่อไปนี้ครับ
- ทดลองดื่มทีละน้อย เนื่องจากแต่ละคนมีความสามารถในการผลิตเอนไซม์แลกเทสที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นปริมาณที่แต่ละคนจะสามารถดื่มได้ก็ต่างกันเช่นกันครับ อาจเริ่มต้นจากการดื่มทีละน้อย (1/2 แก้ว) และดื่มหลังมื้ออาหาร ก็อาจจะช่วยให้การย่อยทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ
- เลือกผลิตภัณฑ์จากนมอื่น ๆ เช่นโยเกิร์ต นมเปรี้ยว (ระวังปริมาณน้ำตาลด้วยนะครับ) เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมีปริมาณน้ำตาลแลกโทสเหลืออยู่น้อยมาก เพราะแบคทีเรียได้ทำการย่อยให้กลายเป็นกรดแลคติคเรียบร้อยแล้วครับ
- ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์นมปราศจากแลกโทสออกมามากขึ้นแล้ว (ถึงแม้อาจจะยังมีราคาแพงอยู่) แต่ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ค่อนข้างดีครับ
- อาจจะเลือกดื่มเครื่องดื่มอื่น ๆ เช่นนมถั่วเหลือง น้ำนมข้าว นมอัลมอนด์ ฯลฯ ที่มีการเสริมแคลเซียมและวิตามินดี เพื่อทดแทนการดื่มนมวัวก็ได้เช่นกันครับ
อ้างอิง
Dykibra J, et al. Lactose maldigestion revisited: Diagnosis, prevalence in ethnic minorities. Am J Lifestyle Med. 2009; 3: 212–18.
Savaiano D. Lactose intolerance: A self-fulfilling prophecy leading to osteoporosis. Nutr Rev. 2003; 61: 221–3.
Montalto M, et al, Management and treatment of lactose malabsorption. Gastroenterol. 2006; 12: 187–91.