ใส่เสื้อกันหนาว+คาร์ดิโอในที่ร้อนๆจะทำให้เผาไขมันได้เยอะขึ้นหรือไม่?

Cardio, Weight Training

หลายต่อหลาย ครั้งโดยเฉพาะฟิตเนสหรือสถานออกกำลังกายที่เป็นลักษณะ กึ่งโปร่ง หรือ ใช้พัดลมในการถ่ายเทอากาศ ที่เรามักจะพบกลุ่มผู้ออกำลังกายกลุ่มหนึ่ง ที่พยายามสวมเสื้อผ้าหนาๆ หรือเสื้อผ้าร่มที่ไม่ระบายอากาศมีเหงื่อท่วมตัวกำลังออกกำลังกายอย่าง ตั้งใจ และ ปฏิเสธที่จะเปิดพัดลม หรือถูกอากาศเย็น ด้วยเหตุผลที่ว่า “อยากให้ร้อนๆเหงื่อออกเยอะๆ จะได้เบิร์นๆ”

จริงหรือไม่ที่การพยายามออกกำลังกายในที่ร้อนๆ และ การเหงื่อออกเยอะๆ นั้นเป็นตัวชี้วัดว่าเรากำลังเผาผลาญไขมันออกไป?

เราต้องมา วิเคราะห์กันถึงการทำงานของร่างกายในสถานที่ร้อน ที่ทำให้เรา “เหงื่อออก” การศึกษาพบว่าร่างกายผลิตเหงื่อเพื่อถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย หล่อเลี้ยงผิวให้ชุ่มชื่น หรือ การตอบสนองต่อภาวะอารมณ์ ฮอร์โมนต่างๆเป็นหลัก ดังนั้นจะพบว่าการเหงื่ออกนั้นโดยเบื้องต้น ไม่ใช้ตัวชี้วัดว่าร่างกายเบิร์นไขมัน หรือพลังงานหรือไม่

แต่ทำไมเวลาออกกำลังกายร่างกายในที่ร้อนๆ จึงเหงื่อออกมากขึ้น?

เนื่องจากปัจจัยแรกคือ ร่างกายมีความร้อนเพิ่มมากขึ้นจากการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายต้องระบายความร้อนออกทางผิวหนัง และ เหงื่อ

ปัจจัยต่อมาเรา จะพบว่า ในกระบวนการเผาผลาญพลังงานแบบ แอโรบิคนั้นผลลัพท์ในขั้นตอนสุดท้ายจะได้ พลังงาน และ น้ำ ดังนั้จุดนี้เองที่ร่างกายผลิตน้ำในระบบและมีแนวโน้มที่จะขับออกทางผิว หนัง ซึ่งในระบบการให้พลังงานของร่างกายแบ่งลักษณะการให้พลังงานเป็น 2 แบบหลักๆได้แก่  แบบไม่ใช้ออกซิเจน และ แบบใช้ออกซิเจน

ร่างกายเริ่มให้ พลังงานในขั้นต้นแบบไม่ใช้ออกซิเจน หากกิจกรรมนั้นๆมีความหนักมาก หรือ ต้องการพลังงานอย่างรวดเร็ว ATP และ การใช้น้ำตาลแบบไม่ใช้ออกซิเจน Anaerobi glycolysis จะเกิดก่อนเพราะมีสำรองในร่างกาย และ ให้พลังงานได้อย่างรวมเร็วไม่จำเป็นต้องรอ ออกซิเจน

การสร้างพลังงาน แบบไม่ใช้ออกซิเจนในจุดนี้ร่างกายผ่านกระบวนการทาง pyruvic เกิด พลังงาน และของเสียที่เรียกว่า กรดแลคติค ตัวการที่ทำให้เราปวดเสียดในกล้ามเนื้อเหมือนเข็มแทง ในภาวะนี้ร่างกายเกิด “การเป็นหนี้ออกซิเจน” Oxygen debt

ต่อมาในภายหลัง เมื่อความหนักในการออกกำลังกายลดลง และ ร่างกายเริ่มใช้ออกซิเจนชดเชยร่างกายได้มากขึ้น (Oxygen repayment) ร่างกายสามารถต่อยอดกระบวนการ ไพรูวิคในขั้นต้นได้โดยผ่านวงจร เครป Kreb’s cycle ในขั้นตอนสุดท้ายของวงจรจะได้ผลลัพทธ์เป็น พลังงาน และ “น้ำ”

มีงานวิจัยของ O’Hara, W.J., C.Allen, R. J. Shephard และ G. Allen*

ได้ออกแบบการ วิจัยโดยสร้างสภาวะการฝึกในภาวะต่างๆ คือ อุ่น 26-31องศา และ ห้องที่หนาวจัดที่อุณหภูมิ -40องศาเซลเซียสอย่างละ 1 สัปดาห์ โดยมีช่วงพัก 1สัปดาห์ คั่นกลาง โดยผู้ออกกำลังกายในชุดกันหนาวแบบภูมิอากาศขั้วโลก (Arctic) เป็นการออกกำลังกายโดยใช้การ เดินบนลู่เดิน 10นาที สลับการใช้ เสตปกับเครื่องเสตป 10นาทีสลับกันไป ผู้ฝึกแบ่งการฝึกเป็น 75นาที 2รอบ โดยมีการพักสั้นๆระหว่างรอบในภาวะอุณหภูมิปกติ พบว่าในช่วงที่ออกกำลังกายในสถานที่เย็นจัดส่งผลให้ร่างกายลดไขมันใต้ผิว หนังได้มากขึ้น และ เพิ่มกล้ามเนื้อได้มากกว่าช่วงที่ออกกำลังกายในอุณหภูมิที่อุ่นกว่า

ดังนั้นจึงสรุป ได้ว่า ไม่ว่าจะออกกำลังกายในที่ร้อนหรือหนาวก็สามารถเบิร์นพลังงานและไขมันได้ตาม ปกติ และมีแนวโน้มที่การออกกำลังกายในที่เย็นจะเผาผลาญได้ดีกว่า การออกกำลังกายในภาวะอากาศปกติด้วย

ข้อควรระวังในการออกำลังกายในสถานที่ร้อนจัด

– อาการขาดน้ำ dehydrate เนื่องจากร่างกายเสียเหงื่อและเกลือแร่มาก อาจทำให้ขาดน้ำ เป็นตะคริว เป็นลม หน้ามืด หมดสติได้

– Heat stroke หรือ ลมแดด อาการเป็นลมเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงเกินไป

ข้อสังเกต

สังเกตไหมว่าใน การวิ่งระยะสั้น Sprint เราจะไม่มีเหงื่อออก ทันที่ที่ร่างกายหยุดวิ่ง หรือ วิ่งช้าลง เหงื่อจะเริ่มออกช้าๆ และ มากขึ้นๆมากขึ้นตามลำดับ ที่เป็นแบบนี้เพราะการใช้พลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจนนั้นไม่เกิด “น้ำ” ในระบบ ต่างกายภายหลังที่ร่างกายชดเชยออกซิเจนแล้ว สร้างพลังงานผ่าน Kreb’s Cycle ทำให้เกิดผลผลิตคือ พลังงาน และ น้ำ

(Visited 1,882 times, 1 visits today)

Last modified: May 9, 2019