1.พยายามลดมากเกินไป
การที่พยายามตัดแคลอรี่เร็วเกินไป การที่พยายามคาร์ดิโอมากเกินไปนั้นจะส่งผลต่อระดับการเผาผลาญ การลดไขมันนั้นคือการที่พยายามให้ร่างกายมีสัดส่วนของพลังงานที่ใช้นั้น มากกว่าพลังงานที่ได้รับก็จริง แต่การที่ลดสารอาหารเร็วเกินไปนั้นถึงแม้ว่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงเร็วในช่วง แรกก็ตามแต่ก็จะตามมาด้วยระดับการเผาผลาญลดลง
นอกจากนี้เมื่อร่างกายได้รับแคลอรี่น้อยเกินไปหรือเราพยายามคาร์ดิโอมากเกิน ไปก็จะทำให้ร่างกายมีพลังงานไม่เพียงพอกับการใช้งาน ร่างกายจึงพยายามลดสัดส่วนที่กินพลังงานซะนั่นก็คือกล้ามเนื้อ ร่างกายจะสลายกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานชดเชย และในอีกทางนึงคือการลดปริมาณกล้ามเนื้อทำให้ร่างกายมีส่วนที่สิ้นเปลือง พลังงานน้อยลง เมื่อมวลกล้ามเนื้อน้อยลงก็ส่งผลให้ระดับการเผาผลาญตกลงไปด้วย ซึ่งทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันยากขึ้น
ข้อแนะนำคือค่อยๆ ตัดแคลอรี่ ค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาในการคาร์ดิโอ ถ้าร่างกายยังสามารถลดไขมันได้เรื่อยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องลดแคลอรี่ลง ไม่จำเป็นต้องเพิ่มระยะเวลาในการคาร์ดิโอ แต่ถ้าเมื่อถึงจุดตันก็ค่อยปรับลดแคลอรี่และเพิ่มคาร์ดิโอ
2.ไม่อ่านฉลากโภชนาการ
เวลาจะลดไขมันหรือลดน้ำหนักหลายๆ คนมักมองหาอาหารประเภท fat-free (ไร้ไขมัน) โดยคิดว่าจะส่งผลดีต่อการลดไขมัน
แต่ในความเป็นจริงแล้วไขมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อร่างกาย ปัจจุบันมักจะแนะนำว่าปริมาณโปรตีนและไขมันควรจะคงที่ไม่ว่าจะอยู่ในโปรแกรม เพิ่มกล้ามเนื้อหรือลดไขมัน ส่วนที่ต่างกันของสองโปรแกรมนี้ควรจะมาจากปริมาณแคลอรี่จากคาร์บโบไฮเดรต ในปัจจุบันจึงเห็นการไดเอทแบบจำกัดปริมาณคาร์บโบไฮเดรตให้เหมาะสมกับการลด ไขมันมากกว่า
อีกอย่างนึงก็คืออาหารประเภท fat-free นั้นส่วนมากมักจะมีปริมาณน้ำตาลมากกว่าแบบปกติเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีซึ่ง ตรงนี้จะส่งผลให้การลดไขมันไม่เป็นไปตามที่ต้องกร
3.Cheat meal (มื้อโกง) หนัก หรือ บ่อยเกินไป
บางคนเลือกที่จะคุมอาหารหนักๆ เพื่อแลกกับการได้กินมื้อโกง มื้อโกงที่ว่านี้ก็คือกินอาหารตามใจชอบซึ่งมีข้อดีต่อการลดไขมันตรงที่ช่วย ฟื้นฟูสภาพจิตใจ (ที่ต้องคุมอาหาร) และฟื้นฟูระดับการเผาผลาญ เนื่องจากการคุมอาหารจะได้รับคาร์บน้อยลงซึ่งจะทำให้การเผาผลาญต่ำลง การได้รับคาร์บโบไฮเดรตสูงในมื้อโกงจึงช่วยเพิ่มการเผาผลาญกลับมาได้
แต่ถ้ามีมื้อโกงหนักเกินไป หรือ บ่อยเกินไป อาจไม่เป็นผลดี ลองคิดว่าเราเลือกที่จะตัดแคลอรี่ออกวันละ 500 Kcal จากระดับความต้องการในแต่ละวันเป็นเวลา 6 วัน (สุทธิตัดแคลอรี่ไปได้ 6 x 500 = 3,000 Kcal) แต่เรามีมื้อโกงที่ได้รับแคลอรี่มากกว่านั้นก็กลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วเราก็ ได้รับแคลอรี่เกินไป
หรือเราเลือกที่จะมีมื้อโกงทุกๆ 3 วัน (ตัดแคลอรี่ได้ 2 x 500 = 1,000) แต่เรากินมื้อโกงไป 1,500 แคลอรี่ สุดท้ายแล้วก็ได้รับแคลอรี่จากมื้อโกงมากกว่าแคลอรี่ที่เราพยายามคุมไป ดังนั้นก็แนะนำว่าควรประเมินมื้อโกงให้ดีว่าปริมาณแคลอรี่มันสมเหตุสมผลหรือ ไม่