กินเยอะเกินไป
การที่จะลดไขมันที่สะสมในร่างกายได้นั้นต้องทำให้สมดุลพลังงานติดลบ (พลังงานที่กิน < พลังงานที่ใช้) เมื่อพลังงานที่กินน้อยกว่าที่ร่างกายจะใช้ก็จะทำให้ร่างกายต้องดึงพลังงานที่สะสมในร่างกาย (ซึ่งก็คือไขมันนี่เอง) เอามาชดเชยส่วนที่ขาดไป
หลายคนที่พยายามลดน้ำหนักนั้นมักจะพลาดไปกับคำว่า “กินนิดเดียว ไม่อ้วนหรอก” ซึ่งบางอย่างที่กินนิดเดียวก็ได้พลังงานเยอะกว่าที่คิดอย่างเช่นพวกน้ำอัดลม, ชากาแฟที่ชงหวานมาก ๆ พวกขนมที่มีแคลอรี่สูงแต่มักจะได้ทั้งน้ำตาลและไขมันในปริมาณที่มาก
กินโปรตีนไม่เพียงพอ
โปรตีนเป็นสารอาหารที่สำคัญในการรักษามวลกล้ามเนื้อ ถ้าร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อมากเท่าไรก็จะเผาผลาญพลังงานเยอะขึ้น แค่นั่งเฉย ๆ ก็เผาผลาญพลังงานได้มากกว่าคนที่มีมวลกล้ามเนื้อน้อยกว่า ดังนั้นหากกินโปรตีนไม่เพียงพอก็จะทำให้เสียมวลกล้ามเนื้อมากเกินไป ซึ่งจะส่งผลทำให้ระดับการเผาผลาญของเรานั้นลดลงและทำให้การลดน้ำหนักนั้นทำได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากนี้โปรตีนเป็นสารอาหารที่ทำให้รู้สึกอิ่ม (satiety) และอยู่ท้อง เมื่อเรารู้สึกอิ่มก็จะทำให้ลดโอกาสที่เราจะหาอาหารเข้าปากและลดโอกาสที่จะได้แคลอรี่เยอะเกินไป
คิดว่าอาหารสุขภาพ (healthy food) ไม่ทำให้อ้วน
หลายคนคิดว่าการหันมากินอาหารสุขภาพให้มากขึ้นเพื่อที่จะลดน้ำหนัก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังต้องทำให้สมดุลพลังงานติดลบอยู่ดี ดังนั้นการกินอาหารสุขภาพจนได้แคลอรี่เยอะเกินไปก็จะทำให้ไม่สามารถลดน้ำหนักแถมยังจะมีไขมันสะสมเพิ่มอีกด้วย
พวกอาหารอย่างกราโนล่าก็จัดว่าเป็นอาหารที่มีแคลอรี่เยอะ (บางสูตร) เพราะมีการใส่พวกน้ำเชื่อมไปเคลือบผิวด้วย ซึ่งอาจจะทำให้สารอาหารเกินได้
และต้องระวังอาหารที่บอกว่ามีไขมันต่ำหลาย ๆ ชนิดมักจะมีปริมาณน้ำตาลที่สูงกว่าสูตรปกติ เพราะถึงแม้จะดีตรงไขมันต่ำแต่จะพลาดตรงที่อาหารบางชนิดมีน้ำตาลสูงแทน
คุณดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เยอะเกินไป
รู้หรือไม่ว่าตัวแอลกอฮอล์เองนั้นก็มีแคลอรี่ โดยแอลกอฮอล์ 1 g ให้พลังงาน 7 Kcal (เยอะกว่าคาร์บด้วยซ้ำ) การดื่มเบียร์ 500 ml นี่ก็ได้พลังงานพอๆ กับกินพิซซ่าชิ้นใหญ่ ๆ ชิ้นนึงเลยทีเดียว ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มพวกนี้มากเกินไปก็เป็นสาเหตุที่จะได้รับพลังงานเกินและทำให้ไม่สามารถลดน้ำหนักได้
นอกจากนี้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากก็จะทำให้เสี่ยงต่อการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อซึ่งจะทำให้ระดับการเผาผลาญของเรานั้นลดลงจนลดน้ำหนักได้ยากกว่าเดิมนั่นเอง
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องผลของเหล้า>> http://goo.gl/GJwgku)
คุณออกกำลังกายไม่เข้มข้นพอ
ลองสังเกตว่าการออกกำลังกายของคุณนั้นเข้มข้นพอมั้ย เช่นการคาร์ดิโอ (วิ่ง, ปั่นจักรยาน) ก็ควรจะหนักมากพอที่จะทำให้หัวใจเต้นในระดับ 60% ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดขึ้นไป แต่ถ้าหากไม่มีอุปกรณ์สำหรับการวัดอัตราการเต้นของหัวใจก็สามารถใช้วิธี talk test ได้
(รายละเอียดเพิ่มเติม talk test>> http://goo.gl/oJDAGX)
ส่วนการเวทเทรนนิ่งนั้นต้องใช้น้ำหนักที่มากพอ เช่น การเล่น 1 เซทนั้นสามารถยกได้ในช่วง 8-12 ครั้งแล้วหมดแรงพอดี แบบนี้จะเป็นน้ำหนักที่มากพอที่จะทำให้เห็นผลลัพธ์อย่างที่ต้องการได้