เทคนิคการตัดน้ำและคุมโซเดียม โดยโค้ชปืน…ตอนที่ 2

Nutrition, Tips and Technique

ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น มันมีปัจจัยหลายๆอย่างที่ต้องคำนึง จนถึงปัจจุบันนี้ใน ช่วงนี้มีการตัดน้ำแบ่งออกได้2วิธีหลักๆ

1.ตัดยาว ใช้เวลา 2-3วันขึ้นไป ในบางเคส และที่ผมเองเคยใช้คือตัดน้ำ 5วัน แต่ส่วนใหญ่อยู่ที่ 2-3วัน โดยที่มีทั้งแบบตัดหมดตั้งแต่วันแรก คือ ใช้แค่จิบๆน้ำให้น้อยที่สุดตั้งแต่วันที่ 1-3วันแข่งเลย หรือ ทยอยๆลดน้ำ เช่น วันแรกดื่ม 6ลิตร วันที่ 2 เป็น 3ลิตร วันที่3สุดท้าย 1ลิตร หลัง 6โมงเย็น จิบๆไม่เกิน 500ml จนถึงแข่งเป็นต้น

2.ตัดสั้น ใช้เวลา 24-36ชม.ก่อนแข่ง กล่าวคือ ควบคุมน้ำ หลัง 6โมงเย็นก่อนวันแข่ง 1วัน

ผมตอบตรงนี้ไม่ ได้ว่า วิธีไหนดีที่สุด ได้ผลที่สุด เพราะแต่ละคนแต่ละปัจจัยมันซับซ้อนจนไม่สามารถฟันธงได้ว่าแบบไหนเหมาะสมกับ ใครมากที่สุด จากประสบการณ์ผมลองมาแล้วทุกวิธี สิ่งที่ผมพอจะแบ่งปันได้คือ “ข้อมูล”

“การตัดยาว” ร่างกายแห้งกว่า ทรมานกว่า เสี่ยงเป็นตะคริวเยอะกว่า มีโอกาสเสียขนาดกล้ามเนื้อเนื่องจากน้ำในเซลล์ถูกดูดออกไปทิ้ง ทำให้กล้ามเนื้อแบน flat  แต่ข้อดีคือแห้งแน่นอน ดูแลแก้ไขง่ายเพราะมีเวลาเผื่อเกิดเหตุ หรือ ต้องเปลี่ยนแผนอะไร การตัดยาวปรับเปลี่ยนได้ยืดหยุ่นกว่า

“การตัดสั้น” กล้ามเนื้อสดกว่ามากๆ แน่นกว่าเพราะน้ำในเซลล์ถูกรบกวนน้อย หลักการของการตัดสั้นคือ ถ้าใครที่เคยผ่านการไดเอทจริงจังจะรู้ทันทีว่าเวลาที่ดูดีที่สุดคือเวลาเช้า ตื่นนอน เป็นช่วงที่ร่างกายเสียน้ำจากการนอนหลับ ไม่ว่าจะทางปัสสาวะหรือ การซึมผ่านขุมขน ผลที่เห็นคือ ร่างกายในตอนเช้าจะแห้ง และ ลีนมากๆ

เพราะอะไร? เพราะร่างกายอดน้ำมาเพียง 6-8ชม.ในระหว่างที่เราหลับเท่านั้นเองยังทำให้ร่างกายแห้งเพียงพอที่จะดูดี แล้ว จึงเกิดการต่อยอดตรงนี้โดยการเพิ่มระยะเวลาการอดออกเป็น 24-36ชม.ก็เพียงพอแล้วที่ร่างกายจะสด และ แห้งที่สุดนักเพาะกายที่มีประสบการณ์จะทราบทันทีว่า ชม.ก่อนขึ้นเวทีนั้น ต้องเป็นเวลาที่ร่างกายฉี่หมดพอดี (ทบทวนว่าในระยะนี้ร่างกายจะยังฉี่บ่อยหลังจากที่ตัดน้ำไปแล้วเป็นระยะเวลา หนึ่ง นักเพาะกายจะยังฉี่บ่อยเหมือนช่วงเพิ่มน้ำและเกลือไปจนถึงจุดๆนึง ร่างกายจะฉี่น้อยลง และ มีความถี่น้อยลงจนฉี่หมด หรือ แทบจะไม่ฉี่อีกแล้ว)เป็นระยะเวลาที่ดีที่สุดก่อนขึ้นเวทีประกวด

มากไปหรือน้อยไปก็ไม่ใช่ว่าจะดี?

จุดที่ยากที่สุด ของเรื่องนี้อยู่ที่ความ “พอดี” การตัดน้ำขับน้ำมากไป น้ำภายใน intracellular ซึ่งบรรจุอยู่ในลูกโป่งกล้ามเนื้อจะถูกดูดออกมาเพื่อไปขับทิ้งได้เช่นกัน หากสมดุลของร่างกายบอกว่าน้ำภายนอกมันแทบจะไม่เหลือแล้ว การตัดน้ำที่มากไปทำให้กล้าม “แบน” flat ไม่เต็มและแน่นอย่างที่นักเพาะกายต้องการ เช่นกัน การตัดน้อยไปก็ไม่ได้ช่วยให้นักเพาะกายมีผิวหนังที่แห้ง เห็นริ้วของกล้ามเนื้อได้เหมือนกัน

มันไม่มีอะไรที่ ตายตัวนอกจากประสบการณ์ที่จะบอกเรา แต่ เราโชคดีที่ยังมีความคล้ายคลึงของระบบพันธุกรรม และ เรามี “วิทยาศาสตร์” ที่จับต้องได้

ย้อนกลับไปช่วง ต้นที่เรามีการคำนวนเอาไว้เล่น เรื่องของชายคนหนึ่งหนัก 80กก. มีน้ำในร่างกายเป็น  48ลิตร แบ่งออกเป็น น้ำภายในเซลล์ 32ลิตร แบ่งเป็นน้ำภายนอก 16ลิตร ซึ่งใน 16ลิตรนี้แบ่งเป็น น้ำเลือดหรือพลาสมา 3.2ลิตร และ อีก 12.8ลิตร เป็นน้ำที่ล้อมรอบเซลล์ โดยจากตัวเลขเหล่านี้  ให้กำหนดว่าเราจะลดน้ำประมาณ 20-30%ของน้ำล้อมเซลล์ ซึ่งเท่ากับ 2.56-3.8ลิตร และ “ต้องไม่ลด” น้ำเกิน 40-50% ของน้ำที่ล้อมรอบเซลล์  (หรือคำนวนจากประมาณ 10%ของน้ำทั้งหมดในร่างกาย) ซึ่งแปลว่าเราจะลดน้ำได้ไม่เกิน 5.12-6.4ลิตร หรือ ไม่ลดน้ำ โดยที่นน.ตัวลดเกิน 5.-6กก.จาก นน.ก่อนลดเพื่อป้องกันการเสียน้ำในเซลล์ ดังนั้นจุดนี้จึงจะพบว่านักเพาะกายที่พยายามลงรุ่นต่ำกว่าโดยการตัดน้ำเยอะๆ นั้นอาจมีผลเสียเรื่องของน้ำในเซลล์ได้เป็นต้น

Water Depletion Blueprint.

2สัปดาห์ก่อนแข่ง –        เพิ่มเกลือทีละน้อย ประมาณ 1-2ช้อนชาจากปกติ

–        เพิ่มน้ำประมาณ 0.5 -2ลิตร

7 วันก่อนแข่ง –        พยายามเพิ่มปริมาณน้ำดื่มอีก ให้ร่างกายต้องการที่จะปัสสาวะถี่ขึ้น ปริมาณมากขึ้น
3 วันก่อนแข่ง –        ควบคุมโซเดียมให้เป็นปกติก่อนเพิ่มเกลือ หรือ ตัดให้น้อยที่สุด ขึ้นอยู่กับแต่ละสูตร

–        ควบคุมปริมาณน้ำ โดยการค่อยๆลดลง หรือ ตัดไปเลยตามแต่ละสูตรดังที่กล่าวไว้

12-24ชม.ก่อนแข่ง –        ใช้การจิบๆน้ำจนถึงเวลาแข่ง
(Visited 2,406 times, 1 visits today)

Last modified: May 10, 2019